ตะลอนทัวร์..บ้านผี

 

 

>> Best view at 1024 x 748 pixels <<
      >> This page recommends JAVA and Flash to performance ! <<      

 

 

 

 

 

 

 

     
 


   ตาเฮ้า, วิน(ผมเอง) และลุงโน๊ต โฉมหน้าผู้กล้าทั้งสาม
       แต่รู้สึกว่ามันจะน่ากลัวกว่าผีอีกนะ ไอ้เสื้อขาวเนี่ย

   

 เรื่องเล่าเก่าแก่ของตำนานวันฮาโลวีน..ถ้าใครได้เล่าเรื่องผีครบทั้ง 100 เรื่องท่ามกลางแสงเทียนที่ค่อยๆดับไป ทีละเล่มๆ ก็จะได้พบกับ...
     ..เสียงด่าสาดกระจายจากผู้ปกครอง เนื่องจากเปลืองเทียนและอันตราย

     แต่หลังจากนั้นล่ะ ภายใต้ค่ำคืนอันมืดมิด สายลมหนาวที่เย็นยะเยือก เงาทะมึนของสิ่งเร้นลับ อาคันตุกะยามค่ำคืน มันกำลังค่อยๆก่อตัวขึ้น ภูตผีวิญญาณ.. มันอาจจะอยู่ในบ้านของคุณ-รอบๆตัวคุณตลอดเวลา หรือแม้แต่..
     ยืนอยู่ข้างหลังของคุณ..

     ปิดประตูลงกลอนให้มิดชิด ตั้งสมาธิให้แน่วแน่ เพราะผมกำลังจะนำคุณผู้อ่าน เข้าสู่บรรยากาศอันน่าสระพรึง..

     และแน่นอน วันนี้ผมก็มีเรื่องเล่ามาฝาก เป็นเรื่องที่พวกพ้องของผมประสบพบเจอมาด้วยตัวเอง.. ในการไปเที่ยวดูบ้านผี..ครั้งหนึ่ง

 
     

 

    คืนนั้นเป็นคืนที่มืดมิด และเงียบสงัด ปราศจากเสียงของลมหรือแม้แต่ศัพท์สำเนียงใดๆ

     คืนวันพระจันทร์อับแสบเช่นนี้ บรรยากาศรายรอบช่างดูวิเวกวังเวง ผิดปกติวิสัยของเมืองหลวง

     เราขับรถเข้ามาตามทางขรุขระในซอยรามคำแหง32 อากาศชื้นจนไอน้ำเกาะที่ข้างกระจก ตัวบ้านตั้งอยู่ลึกเข้าไปในพงหญ้ารกทึบ ครั้งแรกที่เรามา เรากลับไม่พบเห็นบ้านหลังนี้ มันน่าแปลก.. หรือบางที เขาอาจจะไม่อยากให้เราเข้าไปก็เป็นได้

     เราเดินผ่านพงหญ้าและน้ำที่ชื้นแฉะเข้าไปจนถึงทางเข้าตรงรั้วบ้าน บรรยากาศรอบตัวบ้านเย็นยะเยียบ จนผมขนลุกชัน เสียงของความสะพรึงกลัวดังกึกก้องในใจ พวกเราต่างจับมืออันเย็นเฉียบของแต่ละคน ก้าวเข้าไปในตัวบ้านอย่างช้าๆ..

     
     


     4 สาวซ่าท้านรก              
(อ้อม, ก้อย, หมิวดำ เอ๊ย ออย.. และเนย น้องสาวผมเอง)

 
         
           

 

               

           
 

     นายปลวก เอ๊ย โต้ง เป็นกองหน้าของเรา โดยอาศัยใบหน้าเป็นอาวุธ
(อูยย เดี๋ยวโดนปลวกกิน)
 

     

     ส่วนลุงโน้ต เดินปิดท้าย เนื่องจากชราภาพ และผมเองไม่กล้าเดินหลังสุด..

 

   


 

         

 

   
           
   

     ระหว่างทางเดิน เราต้องรำวงขอขมากันซะก่อน
             ชะเอิง เอยยยย
.. ป๊ะเท่งป๊ะ เท่งป๊ะ เท่งๆ !!!
 

     

     หลังจาก ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน และรำฉุยฉาย แล้ว เราก็ต้องไหว้และถ่ายรูปขอขมา อีกครั้งหนึ่ง..
(ปลวกตาแดงเชียว)

 

 

               

           
 

     บ้านร้างราม32 นี้เคยมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ไม่เคยเจอตัวบ้านสักทีไม่รู้ว่าโดนผีบังหรือเปล่า..?
 

     

     สองมือล้วงกระเป๋า สองเท้าก้าวเข้ามาเลยเพ่ เชิญด้านในเลยครับเพ่
แถวไหนครับ ? ทางนี้เลยเพ่
!
 

   
                 
               

           
 

     จากมุมนี้เราจะเห็นผีในชุดซาบรีน่า สุดเซ็กซี่ ! ถือกำเนิดขึ้นในยุคเสื้อผ้าแพง.. ส่วนใหญ่ผีจึงมีใส่แค่ชุดเดียว
 

     

     พวกเราผงะและร้องออกมา เมื่อมองไปที่ข้างตัวบ้าน.. ศาลเก่าแก่มากมาย วางเรียงรายนับสิบ !
 

   

 

               
         

      ประวัติของบ้านนี้คือ เจ้าของบ้านไปเที่ยวต่างประเทศ ทิ้งบ้านไว้ให้คนรับใช้หญิงเฝ้าตามลำพัง เมื่อกลับมาก็พบศพของหญิงสาวคนรับใช้ถูกฆ่าอย่างทารุณและหมกศพไว้ที่..
   ...ห้องใต้ดิน
!

     ขณะนี้เรายืนอยู่ใกล้กับทางลงไปชั้นใต้ดินซึ่งมีน้ำท่วมขังอยู่ พลันหูของเราก็ได้ยินเสียงเหมือนมีใครโยนก้อนหินลงไป ไม่ทันที่เราจะหายสงสัย น้ำที่ท่วมขังห้องใต้ดินนั้นกลับมีฟองผุดขึ้นมา.. พวกเราเริ่มมองหน้ากัน พลันสายตาของผมก็เห็นบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ใต้น้ำนั่น มองดูแล้วมันคล้ายกับใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่ง ผมถึงกับผงะถอยหนี เย็นวาบไปถึงไขสันหลัง ฉับพลัน น้องคนหนึ่งในกลุ่มของเราก็กรีดร้องออกมา เมื่อผมหันไปดู น้องเค้ากำลังจะร้องไห้ ยังไม่ทันที่ผมจะถามอะไรออกไป น้องเขาก็ตะโกนออกมาด้วยความกลัว

     "โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว รีบออกไปเถอะ !" น้องคนนั้นพูดด้วยเสียงสั่นเครือ

     "มีอะไรหรอ" ใครคนหนึ่งถามกลับทันควัน

     "มึงเหยียบเท้ากูอยู่.. โอย รีบออกไปสิ !"

     หลังจากเก็บภาพไว้เรียบร้อยแล้ว เราจึงกลับออกมา

 

 
   

     เค้าบอกกันว่า ที่เสาต้นนี้มักจะถ่ายติดรูปวิญญาณผู้หญิงที่ตายไปเสมอ..
(แล้วไอ้เสื้อเขียว..มันเป็นบ้าอาราย..)
 

       

 

               
 

     เราออกจากบ้านร้างราม32 มุ่งหน้าไปตามทางที่มืดมิดเข้าสู่ บริเวณทางเข้าของโรงงานปากกา..

     ลองคิดดูสิ โรงงานร้างในพื้นที่ 80 ไร่ ขนาดของพื้นที่รกร้างก็น่ากลัวพออยู่แล้ว และยิ่งเป็นโรงงานที่ๆเคยมีคนพลุกพล่าน ประวัติต่างๆของโรงงานเกิดจากอุบัติเหตุลึกลับรวมทั้งเรื่องของเจ้าที่เจ้าทางด้วย และแน่นอน มีคนที่ต้องสังเวยชีวิตให้ที่โรงงานนี้ไปมากมาย รวมทั้งยามที่ถูกฆ่าแล้วหมกศพไว้ในแท็งก์น้ำ..

     พวกเราหยุดรอที่หน้าโรงงาน เพื่อรอให้กลุ่มคนที่เข้าไปออกมาเสียก่อน เพราะผีที่ว่าน่ากลัว แต่คนพวกนั้น.. น่ากลัวยิ่งกว่า

     


    ตอนนี้กำลังรอกลุ่มอื่นที่แซงเราเข้าไปก่อน
ส่วนลุงโน้ต เริ่มอิดออด อยากจะรออยู่ข้างนอก..

   
               

 

         

     แรกเริ่มที่ก้าวผ่านรั้วสีส้มของโรงงานเข้าไป  ผมสัมผัสได้ถึงไอเย็นและกลิ่นที่แปลกประหลาด มันเป็นกลิ่นน้ำมันเครื่องจักรผสมกับกลิ่นสาปสางของอะไรบางอย่าง

     ที่ๆเราเดินเข้าไปเป็นส่วนของโรงอาหารของโรงงาน ทุกคนเกาะกลุ่มกันแน่น ทุกครั้งที่ผมถ่ายรูป ผมกลับรู้สึกว่า มีสายตาหลายคู่กำลังจ้องมองมาทางพวกเรา รู้สึกเย็นวูบทุกครั้งเมื่อก้าวขาไปข้างหน้า

     แต่สุดท้ายเราก็ต้องกลับ ไม่สามารถเดินต่อไปได้ เนื่องจากทางที่จะไปยังตัวโรงงานที่เกิดเหตุนั้นมีต้นหญ้าขึ้นรกสูงท่วมศีรษะ

     ระหว่างทางกลับ ผมได้กลิ่นที่น่าสะอิดสะเอียน กลิ่นของมันชวนให้คลื่นเหียน และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆเหมือนมันไล่ตามหลังเรามาติดๆ ผมไม่อยากจะคิดว่ามันเป็นกลิ่นของอะไร แต่ที่แน่ๆ ผมกำลังสาวเท้าอย่างรวดเร็วเพื่อออกจากที่นี่..

 
         
 

 

     ผีมักจะขี้เหงา ส่วนใหญ่จะต้องถือตุ๊กตาไปมา..
         เสื้อผ้า ไม่ชุดขาวก็ต้องชุดดำ ห้ามใส่ สีสันคัลเลอร์ฟูล
         มะด้ายยยย ผิดกฎผี
!
 

       

 

               
           
   

     บรรยากาศที่ในโรงงานปากกา เงียบและวังเวง ทำให้นึกถึง ผีตาโบ๋ ขึ้นมา..
 

     

     ผีมักจะขี้ขาย หาตัวจับยาก ชอบทำตัวเป็นอีแอบ.. ผลุบโผล่ตามหน้าต่าง และซอกตู้ บางทีผีก็เข้าไปแอบในตู้ ซะงั้นแหละ..!
 

 
                 
               
           
   

     ก่อนหน้านั้นคืนนึง ผมฝันว่ามีซากศพเด็กถูกโยนลงมาจากชั้นบน เพื่อนของผมเห็นเข้า จึงเสียสติไป ส่วนเจ้าผีร้าย
     ที่กินศพเด็ก ก็วิ่งไต่ไปตามขื่อหลังคา
โอยยย..
 

     

     ศาลเก่าแก่ที่หน้าโรงงาน เรานำภาพมาขยายดูที่กล้องคล้ายกับมีใบหน้าของคนจริงๆ แต่ว่าพอนำมาลงในคอม ใบหน้านั้นก็หายไปซะเฉยๆ..

 

 

 

     หลังจากวันนั้น ผมก็กลับไปที่โรงงานนี้อีกครั้งหนึ่ง กับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง.. และผมก็เจอดีเข้าให้จริงๆ

     วันนั้นผมเดินเข้าไปอีกทางเพื่อตรงไปยังตัวโรงงาน.. มีนกตัวหนึ่งคอยบินตามเราอยู่ตลอด เสียงของมันน่ากลัวมาก ตัวโรงงานนั้นสูงทะมึนอยู่เบื้องหน้าของเรา พวกผมรวมรวบความกล้าเดินเข้าไป ..ท่ามกลางความเงียบสงัด พลันก็มีเสียงดังโครม.. มันดังมาก คงไม่ใช่กล่องใบเล็กๆเป็นแน่.. แต่พวกเราก็ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้

     เมื่อเดินหน้าต่อไปจนถึงตัวลิฟต์ที่เกิดเหตุ ซากลิฟต์กระจุยกระจายเกลื่อนไปทั่วบริเวณ พลันจมูกของผมก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าอย่างรุนแรง.. ผมหันขวับไปมองหน้าเพื่อนอีกสามคน เพื่อนคนหนึ่งเริ่มมีปฏิกิริยา อย่างเห็นได้ชัด มันก้มหน้าก้มตา และค่อยๆพูดด้วยเสียงต่ำจากลำคอขอมัน..
     "กลิ่นมันมาจากตรงนี้..มาจากตรงกูเอง.." พวกเรารีบถอยห่างจากตัวมัน     "ไม่มีอะไรหรอก กูตด.." แหม ผมนึกอยากถีบมันนัก

     พวกเราเดินขึ้นไปเรื่อยๆ ในหูของผมก็ได้ยินเสียงต่างๆนานา มันเป็นเสียงกระซิบเหมือคนคุยกัน ..แต่ครั้งนี้มันเป็นเสียงของแท็งก์น้ำ เสียงเหมือนมีใครพยายามที่จะเปิดฝาแท็งก์น้ำออก เสียงตะกายดังแกรกกราก เมื่อผมคิดทบทวนถึงประวัติที่เกี่ยวกับแท็งก์น้ำ.. ผมก็พูดให้เพื่อนรวบรวมสมาธิให้แน่วแน่ อย่าว่อกแว่ก..
     แล้วผมก็ใส่เกียร์หมาโกยแน่บเป็นคนแรก.. หึหึ โดนเราหลอกซะแล้ว เพื่อนเอ๋ย

     แต่เมื่อพวกเราวิ่งออกกันมาตรงหน้าตัวตึก (ยังไม่ได้ออกจากอาณาเขตโรงงาน) สิ่งที่เราเห็นนั้นทำให้พวกเราทุกคนถึงกับตกตะลึง..

           
       


 

     จะว่าไปแล้วควรจะดีใจหรือเสียใจ ที่เราไม่ได้เห็นผี มานึกดูอีกที ก็โล่งเหมือนกันที่ไม่มีใครเห็นหรือเป็นอะไรไป..
(ดูผีหม่อมเต่า กะ ผีควายธนู ไปก่อนนะคับ)

 

   
             

 

       

     ใครคนหนึ่งกำลังยืนอยู่บนดาดฟ้า ดวงตาสีแดงเหมือนสัตว์ป่า ผมเผ้ายาวรุงรัง ที่สำคัญเขากำลังจ้องมองมาที่พวกเรา พวกผมเริ่มจับมือกันแน่น ในใจก็ภาวนาให้เค้าคนนั้นเป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนเรา..
     แต่แล้วเค้าก็ยกมือขึ้น ชี้นิ้วลงมาที่เรา ตอนนี้เองที่ผมขนลุกตั้งชันไปทั้งตัว รู้สึกเจ็บแปลบที่ไขสันหลัง ใบหน้าร้อนวูบวาบ หัวใจเต้นโครมคราม ราวกับกลองที่ตีระรัว..

     ใครคนนั้นแสยะยิ้ม ก่อนที่จะปล่อยตัวร่วงลงมาจากชั้นบนสุด ต่อหน้าต่อตาพวกเรา ร่างนั้นกระแทกกับพื้นอย่างแรง เสียงของกะโหลกกระแทกกับพื้นดังสนั่น.. และตอนนี้ผมรู้คำตอบแล้วว่า เสียงที่ได้ยินครั้งแรกนั้นเป็นเสียงของอะไร !?!?

     แต่ โอ..ไม่ ดวงตาของร่างนั้นยังคงเบิกโพลง จ้องเขม็งมาที่พวกเรา ริมผีปากนั่น ยังคงแสยะยิ้ม.. ใบหน้าของมันช่างน่าสยดสยองยิ่งนัก มือทั้งสองข้างจิกเกร็งเหมือนมันกำลังจะลุกขึ้นมา

     พวกเราวิ่งหนีออกมาอย่างไร้สติ บางคนถึงกับเข่าอ่อน พูดจาไม่รู้เรื่อง ผมได้แต่อึ้งทำอะไรไม่ถูก นอกจากฉุดกระชากเพื่อนให้ออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่านั้น...

     หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ผมก็ไม่กล้ากลับไปที่โรงงานนั่นอีกเลย..

 
 



     ลุงคนนี้กำลังเล่าเรื่องความเฮี้ยนของโรงงานปากกาให้เราฟัง แหม ถ้าได้ฟังก่อนล่ะ คงไม่กล้าเข้าไปแน่อ่ะลุง

     
         

 

 
 

     กลับมาที่เหตุการณ์เดิม หลังจากที่ผมและน้องๆกลับออกมาจากโรงงาน ก็เข้าไปนั่งคุยกับลุงที่เฝ้ายามให้กับหอพักแถวนั้น ลุงแกเล่าว่าเคยเห็นผู้หญิงผมยาว ตาแดง มายืนกวักมืออยู่ที่แถวๆรั้วทางเข้า..

     พวกเรานั่งฟังลุงแกอยู่ซักพัก จึงค่อยเดินทางกลับ..
 

     สุดท้ายนี้..
      แม้ว่าเพื่อนๆจะยังไม่เคยโดนผีหลอก..

     แต่วันนี้..
    เพื่อนๆโดนผมหลอกเข้าอย่างจัง จริงๆแล้วเรื่องที่ไปบ้านผีนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ที่เจอผีน่ะ อำทุกอย่าง 555

     หลอกกันเล่น วันฮาโลวีนครับ (อย่ามาไล่เตะผมนา)  ขอให้มีความสุข เจอผีกันถ้วนหน้านะครับ

(มี แฟลตฮาๆ แถมท้ายที่ด้านล่างครับ)

  

           
           
           รูปนี้สอนให้รู้ว่า : "บางครั้ง คนก็น่ากลัวกว่าผี"
 
   
   

 

 

 

 
 


     หลังจากที่เรากลับขึ้นรถ..
 

 

 

 

 

 

 

 

 


     เราก็ไม่เห็นลุงคนนั้นอีกเลย...
 

 
 

 

 

 

 

 

[- The End -]
 



10 อันดับ บ้านผีที่เฮี้ยนที่สุด

 

1. ในซอยรามคำแหง 32 ปล่อยให้ทิ้งร้างเก่าทรุดโทรมอย่างน่าใจหาย ประวัติของบ้านมีว่าเจ้าของบ้านเป็นชาวต่างชาติ วันหนึ่งเจ้าของบ้านขับรถออกไปทำงานตามปกติ ที่บ้านมีสาวใช้อยู่เพียงคนเดียว คนร้ายไม่ทราบจำนวน ซึ่งคงมาแอบสังเกตการณ์นานพอสมควรได้ฉวยโอกาสเข้าปล้น และฆ่าสาวใช้ตายคาที่ นับตั้งแต่นั้นมักจะได้ยินเสียงผู้หญิง ร้องไห้ช่วยดังโหยหวนน่าสยดสยอง และยังเห็นผู้หญิง (เข้าใจว่าเป็นสาวใช้ที่ถูกฆ่าตาย ) เดินวนเวียนวูบวาบอยู่ในบ้าน เจ้าของบ้านทนอยู่ไม่ไหวต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น เล่ากันว่าหลังจากนั้น มีคนได้ยินเสียงผู้หญิงร้องให้ช่วย ดังมาจากบ้านร้างบ่อยๆ และมีคนเห็นผู้หญิงลึกลับยืนอยู่หน้าบ้านเป็นประจำเมื่อเข้าไปใกล้ก็หายไป


2.วัดมหาบุศย์ พระโขนง
ที่วัดมหาบุศย์ ยังมีศาลย่านาคตั้งอยู่ สืบเนื่องมาจากตำนานรักของแม่นาคพระโขนง ที่รู้กันแพร่หลายเล่ากันว่า เมื่อผีแม่นาคอาลวาดหลอกหลอน จนชาวบ้านหาปกติสุขมิได้ เจ้าประคุณสมเด็จโต ( วัดระฆัง ) ได้มานำวิญญาณแม่นาคไป พร้อมกับกระดูกกระโหลกหน้าผาก แล้วอบรมสั่งสอนให้รักษาศีล ปฏิบัติธรรม นัยว่าแม่นาคเลื่อนภพเป็นเทพแล้ว หากยังมีผีวนเวียนที่วัดมหาบุศย์ คงมิใช่วิญญาณแม่นาคอย่างแน่นอน


3.ในซอยสายหยุด อู่รถเมลล์เก่า
ที่นี่เป็นสุสานรถเมลล์หรือรถโดยสารประจำทางที่ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจนใช้การไม่ได้ ซากรถเมลล์แต่ละคันมีประวัติคนตายโหงคารถ ในสภาพสยดสยองมาแล้วและเป็นที่เล่าลือกันว่า อยู่ดีๆไฟในรถกลับเปิดสว่างขึ้นมาเอง หรือมีคนมายืนโบกรถหน้าอู่ แท๊กซี่จะเข้าไปจอดรับก็หายไปบางครั้งมีคนวิ่งตัดหน้า และหายไปดื้อๆ

4.ในซอยรอดอนันต์ 1 ถ.สุขาภิบาล1
เป็นบ้านร้างทรงไทยอยู่ริมบึงห่างไกลจากบ้านอื่นๆในระแวกนั้น บริเวณบ้านรกครึ้มด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยคุณยายเจ้าของบ้าน เสียชีวิตที่บ้านหลังนี้ และน่าเชื่อว่า วิญญาณของคุณยายไม่ยอมไปผุดไปเกิด แต่ยังคงวนเวียนอยู่ในบ้าน จนกระทั่งลูกหลานไม่กล้าอยู่ ต่างแยกย้ายไปอยู่ที่อื่นหมด ปล่อยบ้านทิ้งร้างชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา และที่บ้านหลังนี้เล่าลือกันว่าผีดุนัก คนอยู่ระแวกใกล้เคียงเคยเห็นผีคุณยายมายืนชี้นิ้วอยู่ที่หน้าบ้านเมื่อมีเด็กๆ วิ่งเล่นอยู่ในบริเวณหน้าบ้าน เคยมีคนใจกล้าเข้าไปในบ้าน ได้ยินเสียงผู้หญิงแก่ๆขู่ตะคอก จนต้องเผ่นออกมาแทบไม่ทัน


5.รังสิต คลอง 13
จากถนนใหญ่เข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตร มีบ้านพักถูกไฟไหม้เกือบหมดทั้งหลัง แต่ยังเหลือซากบ้านอยู่ส่วนหนึ่ง ข้อมูลบางกระแสเล่าว่า มีผู้หญิงตายในไฟ บ้านหลังนี้อยู่ในสวนมะขามหวาน แต่ถูกทิ้งให้รกร้าง คนในระแวกใกล้เคียงต่างยืนยันกันว่าตอนกลางคืน จะได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องโหยหวน มาจากซากบ้านบ่อยๆ พร้อมกันนั้นเคยมีคนเห็นผีผู้หญิงในบริเวณซากบ้านด้วย


6.ในซอยมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ถ.พัฒนาการ เป็นโรงงานร้าง
เมื่อก่อนนี้เป็นโรงงานทำปากกา และเป็นโรงกลึงขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในพื้นที่ 80 ไร่ เหตุที่กลายเป็นโรงงานร้าง ชำรุดทรุดโทรม มีวัชพืชขึ้นปกคลุมรกครึ้มเช่นทุกวันนี้ ว่ากันว่าเจ้าที่เจ้าทางแรง ระหว่างที่ดำเนินงานอยู่ มีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุหลายคน ผู้ลงทุนขาดทุนย่อยยับจนต้องเลิกกิจการ หากเดินเข้าไปในอาณาเขตโรงงานร้าง จะสัมผัสบรรยากาศยะเยือกผิดปกติ และเล่าลือกันว่าหากไปเคาะแท้งก์น้ำซึ่งตั้งอยู่ 3 ใบ 3 ครั้ง จะปรากฏเจ้าที่เจ้าทางออกมาให้เห็นทันที


7.วัดปราสาท จ.นนทบุรี
เป็นวัดเก่าแก่โบราณ สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง เคยขุดพบกำแพงเมืองรอบอุโบสถอายุ 300 ปี ด้านหลังอุโบสถ มีคุ้มเก่าแก่ชำรุดทรุดโทรมว่ากันว่าเจ้าของสถานที่คือ พระนางอุษาวดีเทวี ชาวบ้านระแวกนั้นเรียกว่า "แม่" และ" เจ้าแม่ " เวลากลางคืน หากไปที่บริเวณคุ้มจะมีบรรยากาศวังเวงน่ากลัวมาก ผู้ใดไปแสดงกิริยาวาจาจ้วงจาบหยาบคาย ไม่เคารพผู้เป็นเจ้าของสถานที่ มักจะพบกับเหตุการณ์แปลกๆน่าขนหัวลุก


8.โรงงานร้างอยู่ในอุตสาหกรรมบางปู (ฝั่งเดียวกับเมืองโบราณ)
สถานที่อยู่สุดซอย 2 เมื่อก่อนนี้เป็นโรงงานทำรองเท้า ขณะที่กิจการกำลังดำเนินงานไปด้วยดี ได้เกิดอุบัติเหตุร้างแรง คือเครื่องปั้มลมเกิดระเบิดคนงานหลายคนเสียชีวิตสยอง นับตั้งแต่นั้นคนงานที่ทำงานอยู่ ถูกผีหลอกวิญญาณหลอน จนต้องทะยอยลาออกไปเรื่อยๆจนหมด กิจการประสบความวินาศ เจ้าของโรงงาน ยิงตัวตายในห้องทำงานชั้นบนของโรงงาน และกลายเป็นสถานที่รกร้างเรื่อยมา เล่าลือกันว่าผีดุมาก ปัจจุบันนี้ยังมีเศษรองเท้ากระจายเกลื่อนและปั้มลมมรณะก็ยังอยู่


9.ในซอยวัชรพล
เป็นบ้านทรงยุโรปหลังใหญ่ ซึ่งยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ ถูกทิ้งร้างค้างคาอยู่ในสภาพเดิม เวลากลางคืนดูน่ากลัวชวนขนลุกยิ่ง และว่ากันว่ามีคนพบเห็นวิญญาณของชายหญิงและเด็ก ปรากฏวูบวาบบ่อยๆ สาเหตุที่บ้านหรูหลังใหญ่ กลายเป็นบ้านร้าง เนื่องจากเจ้าของบ้านหลังนี้ พาครอบครัวขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัด และประสบอุบัติเหตุ เสียชีวิตหมดทุกคน
 

10.ในซอยวัชรพลเช่นกัน เป็นหมู่บ้านร้างตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 100 ไร่ ชื่อหมู่บ้านปิยพร คนเก่าคนแก่ในพื้นที่เล่าว่า ที่ดินส่วนนี้เคยเป็นป่าช้ามาก่อน เจ้าของโครงการ ไม่ได้ทำพิธีบอกกล่าวขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทาง ดังนั้นพอเริ่มงานก่อสร้าง จึงพบกับอุปสรรคนานาประการ ต่อมามีคนงานเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุหลายคน ในเขตหมู่บ้านมีบึงใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง ก็มีเด็กตกไปตาย 2-3 คน ประกอบกับบ้านในโครงการ ไม่มีผู้สนใจอย่างที่ประเมินเอาไว้ จึงต้องยุติโครงการ กลายเป็นหมู่บ้านร้างกลางกรุง พร้อมกันนั้นก็มีเสียงเล่าลือว่า ผู้ที่เข้าไปในเขตหมู่บ้านยามวิกาล มักจะพบวิญญาณแสดงตัวหลอกหลอน เล่นเอาขวัญหนีดีฝ่อ ไม่บังอาจกล้ำกลายเข้าไปอีก
 

 

   

   

<-- Click here to see another
                  pictures

 

Click here to comment -->
this diary